สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
สาขาจังหวัดบุรีรัมย์
 

วันที่ 09-05-2545

 

เปิดตัวการขวางปลดแอกชาวนา ขรก.การเมืองหวั่นหมดช่องหากิน
 
 
 
    เชิงวิเคราะห์ ความหวังหลุดบ่วงวิบากกรรมหนี้สินและความจนดักดานชาวนาไทยยังปิดตาย เมื่อกลุ่มเหลือบหากินกับนโยบายภาคเกษตรของประเทศไม่ย่อมปล่อยช่องทางทำมาหากินหลุดลอยไปจากมือ ชี้กองทุนฟื้นฟูฯความหวังปลดแอกหนี้สินของเกษตรกร 6 ล้านคน ไม่วันได้เกิด จนกว่านโยบายพักหนี้ 3 ปีรัฐบาลจะหมดอายุในปี 47 หรือจนกว่าจะแปลงร่างกองทุนให้เป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองได้สำเร็จ ด้านกองทัพปลดหนี้ประกาศชนรัฐบาลหลังสงกรานต์พวกเราจะกลับมายึดกรุงอีกครั้งใหญ่ยกที่ 3  วิวาทะ “นโยบายเฮงซวย” ที่ ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยวิพากษ์นโยบายภาคการเกษตรของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาได้สะท้อนให้เห็นรากแก่นแห่งความผิดพลาดและล้มเหลวในการพัฒนาภาคเกษตรของไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันได้อย่างหมดเปลือก อันเป็นต้นตอแห่งความยากจนและภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวของเกษตรกร 5.6 ล้านครอบครัวประมาณ 28 ล้านคนทั่วประเทศต้องเผชิญวิบากกรรมอย่างไม่มีวันจบสิ้นเฉกเช่นทุกวันนี้  ภาวะหนี้สินเกษตรกรไทยในปัจจุบัน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้รายงานข้อมูลการให้สินเชื่อในประเทศไทย ในส่วนของจำนวนสินเชื่อในภาคเกษตรเมื่อปี 2542 ระบุว่า เกษตรกรเป็นหนี้ในระบบทั้งในธ.ก.ส.,ธนาคารพาณิชย์และสหกรณ์ภาคการเกษตร รวม 396,229 ล้านบาท และมีหนี้นอกระบบที่มีแหล่งเงินกู้จากทั้งเครือญาติ/เพื่อนบ้าน,พ่อค้าคนกลางและนายทุนเงินกู้ รวมจำนวน 15,400 ล้านบาท รวมหนี้สินของเกษตรกรทั้งสิ้น 411,699 ล้านบาท ความยากจนดักดานและสถิติตัวเลขหนี้สินเกษตรกรมโหฬาร 4 แสนกว่าล้านบาท จะนับได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่แสดงบท “พ่อคุณผู้รู้ดี” ซ้ำซากมาตลอด 110 ปี ก็ไม่ผิดนัก  รัฐไร้น้ำยาจุดกำเนิด “กองทุนชาวนา” อย่างไรก็ตาม บ่วงกับดักแห่งหนี้สินทั้งในและนอกระบบ กลายเป็นปัญหาที่นับวันยิ่งทับทวีคุณ ผลักดันให้เกษตรกรต้องลุกขึ้นมาพยายามแสวงหาทางออกตามแนวทางของตนเองมากขึ้น การเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องของเกษตรกรเพื่อให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาจึงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมักจะจบลงด้วยการที่รัฐบาลยอมจัดสรรงบประมาณเพื่อพยุงราคาผลผลิตโดยผ่านงบประมาณไปยังส่วนราชการ แต่การแก้ปัญหาให้เกษตรกรไม่เพียงพอแก่ปัญหาและไม่ทั่วถึง ที่สำคัญเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง นำไปสู่การที่เกษตรกรต้องเคลื่อนไหวเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า  จนกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มเกษตรกร “สายม็อบภาคอีสาน” ต้องมานั่งทบทวนบทเรียนการต่อสู้ร่วมกันในปี 2540 ในนามแนวร่วมองค์กรเกษตรกรภาคอีสาน(น.ก.อ.) อันประกอบไปด้วย สมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน(สกย.อ.) มูลนิธิเกษตรกรไทย, ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรกรจังหวัดขอนแก่น จำกัดและสหพันธ์สหกรณ์ชาวไร่อ้อยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่เหนื่อยเปล่ากับการเคลื่อนไหวชุมนุมเรียกร้องมานานหลายปี  ก็ได้บทสรุปร่วมกันว่า ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรประสบปัญหามาตลอด เพราะ 1.ขาดการรวมตัวเป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็ง 2.การพัฒนาการเกษตรไม่เป็นอิสระอยู่ภายใต้การครอบงำสั่งการของทางราชการ เกษตรกรไม่มีโอกาสหรือมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาความเป็นอยู่และการประกอบเกษตรกรรมของตนเองได้ และ 3.ขาดการพัฒนาการเกษตรแบบครบวงจร  การผลักดัน พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ริเริ่มและต่อสู้เรียกร้องโดยเกษตรกรเองอย่างแท้จริงจึงกำเนิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งองค์กรที่รับผิดชอบในการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรอย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระ โดยประสานงานความร่วมมือระหว่างราชการในระดับกำหนดนโยบาย ผู้ปฏิบัติ นักวิชาการ และเกษตรกรเป็นผู้กำหนดนโยบายในการบริหารกองทุนฟื้นฟูฯ และเปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ขาดปัจจัยการประกอบอาชีพรวมตัวกันเป็นองค์กรเกษตกร เพื่อทำแผนและโครงการในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุน ซึ่งจะมีระบบการติดตามและประเมินผลการดำเนินการ  หลักการกองทุนฟื้นฟูฯดังกล่าว ตามกฎหมาย พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 จึงเป็นกองทุนที่ไม่ใช่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ แต่เป็นกองทุนอิสระที่กำหนดนโยบายและบริหารโดยเกษตรกรอย่างแท้จริง รัฐมีหน้าที่ในช่วยเหลือสนับสนุนและพึงจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเข้าสมทบกองทุนเท่าจำนวนที่จำเป็น  ผ่าหัวใจกองทุนฟื้นฟูชาวนา  แนวทางการแก้ปัญหาและพัฒนาเกษตรกร ตามพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯ จะมุ่งยึดหลักการหัวใจสำคัญ 3 ประการ คือ 1.เกษตรกรต้องรวมตัวกันเป็นองค์กรที่เข้มแข็งและเป็นอิสระ นั่นคือ เกษตรกรที่จะเข้าสู่กองทุนฯ ต้องรวมตัวกันเป็นนิติบุคคลหรือไม่ก็ได้ตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ถึงจะมีสิทธิเข้าสู่กระบวนฟื้นฟูและพัฒนา ตามของกองทุน ทั้งสิทธิในการเลือกผู้แทนเข้าไปกำหนดนโยบายและบริหารจัดการกองทุนฯ และสิทธิเสนอแผนและโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุน ตามเจตนารมณ์ของกองทุนฯที่ต้องการให้เกษตรกรรวมตัวเป็นองค์กรที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง เพื่อร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและศักยภาพของกลุ่ม แล้วกำหนดยุทธศาสตร์-แนวทางและจัดทำแผนและโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมของตนเอง  2.เกษตรกร องค์กรเกษตรกร ต้องเป็นศูนย์กลางการพัฒนาการเกษตร เจตนารมย์ของกฎหมายกำหนดให้เกษตรกร เป็นเจ้าของกองทุนฯอย่างแท้จริง ทั้งการกำหนดนโยบาย การบริหารจัดการกองทุน เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร ในการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม-ชีวิตเกษตรกร ทั้งนี้กลไกของกองทุนฯ ทั้งในระดับนโยบาย และการบริหารจัดการคือคณะกรรมการกองทุนฯที่มีทั้งหมด 41 คน กำหนดให้มาจากผู้แทนฝ่ายเกษตรกร(มาจากการเลือกตั้ง) สัดส่วนมากที่ สุด จำนวน 20 คน ,ข้าราชการ 9 คน,ผู้ทรงคุณวุฒิ 11 คน และมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกฯ เป็นประธานโดยตำแหน่ง  ส่วนคณะกรรมการบริหารกองทุน 7 คน ต้องมีคณะกรรมการกองทุนฯ เข้าร่วมจำนวน 3 คน โดยต้องแทนเกษตรกรร่วมอย่างน้อย 2 คน ,ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน และมีเลขาธิการสำนักงานกองทุนฯ เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เช่นเดียวกับคณะอนุกรรมการกองทุนฯ สาขาระดับจังหวัดที่กำหนดสัดส่วนผู้แทนฝ่ายเกษตรกรเป็นเสียงข้างมาก  และ 3. เกษตรกรต้องเป็นเจ้าของผลิตการเกษตรอย่างแท้จริง กฎหมายพ.ร.บ.กองทุนฯ เป็นการเปิดโอกาสและสนับสนุนให้เกษตรกรทำการผลิตอย่างครบวงจร ตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์หรือการเก็บวัตถุดิบจากธรรมชาติ แล้วศักยภาพความเข้มแข็งขององค์กร ไปสู่การรวบรวมรับซื้อ-แปรรูป -เพิ่มมูลค่า และจัดสรรจำหน่าย ทั้งนี้เห็นได้จากยุทธศาสตร์การทำแผนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรได้กำหนดแนวทางไว้ 5 โครงการ ซึ่งแผนและโครงการที่องค์กรเกษตรกรเสนอขอรับการสนับสนุนต้องจัดทำให้ครบวงจรทั้ง 5 โครงการเป็นกระบวนการเกษตรครบวงจร ต่อเนื่องและสอดสัมพันธ์กันถึงจะได้รับการพิจารณาอนุมัติจากกองทุน  ประกอบด้วย 1.โครงการพัฒนาองค์กรเกษตรกร 2.โครงการการผลิตขั้นพื้นฐาน 3.โครงการรวบรวมผลผลิต 4.โครงการเพิ่มมูลค่าผลผลิตและ 5. โครงการการจัดจำหน่าย  เมื่อมองภาพรวมความตัวตนของกองทุนฟื้นฟูฉบับชาวนาแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นปลดล็อกประตูอำนาจในการจัดการเกษตร จากเดิมที่ถูกปิดตายและอยู่ภายใต้การครอบงำสั่งการจากทางฝ่ายรัฐแต่อย่างเดียว เกษตรกรเป็นเพียงเหยื่อรองรับผลพวงการพัฒนาแบบบนสู่ล่างโดยสิ้นเชิง แต่กองทุนฟื้นฟู เป็นการเดินทางเดิมที่ล้มเหลวมาตลอด คือ การกำหนดนโยบายจากด้านล่างสู่ข้างบนโดยเกษตรกรและร่วมบริหารจัดการโดยเกษตรกรเอง เพราะย่อมรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร  ด้วยเหตุข้างต้น แน่นอนที่สุดกองทุนดังกล่าว ย่อมเป็นที่ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง สำหรับส่วนราชการบางหน่วยงานโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯเจ้าเก่าที่คุ้นเคยกับการสมคบกับกลุ่มทุนธุรกิจการเกษตรหากินบนหลังชาวนามาช้านาน  แก้ไขเพิ่มพ.ร.บ.กองทุนรอบ 2  หวังแก้ปัญหาหนี้สินอย่างถาวร  เมื่อพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯประกาศบังคับใช้วันที่ 10 พ.ค. 2542 เดินหน้าอย่างทุลักทุเลมาได้ระดับหนึ่ง องค์กรเกษตรกรกลุ่มที่ผลักดันกฎหมายดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น จนถูกขนานนามว่า “ม็อบสายเจ้าพ่อกองทุน” ในการเคลื่อนไหวชุมนุมแต่ละครั้ง ได้เห็นร่วมกันว่า พ.ร.บ.ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเน้นไปที่การฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพ เป็นหลัก แต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐาน คือหนี้สินของเกษตรกรได้อย่างเป็นระบบ ตราบใดที่เกษตรกรยังอยู่ในวังวนบ่วงกรรมแห่งหนี้สิน เม็ดเงินจากกองทุนที่ผ่านลงไปเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพก็จะถูกดูดกลืนหายไปกับการจ่ายหนี้ ซึ่งเป็น “ปัญหาร้อน” ที่เกษตรกรทุกคนล้วนประสบอยู่ถ้วนหน้า การพัฒนาอาชีพก็จะหนีไม่พ้นความล้มเหลวเช่นเดิม  เกษตรกรกลุ่มที่ขึ้นทะเบียนกองทุนฯทั่วประเทศจึงจับมือกันเคลื่อนไหวชุมนุมครั้งใหญ่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ระหว่างวันที่ 3-6 พ.ค.2543 ผลักดันให้มีการแก้ไขปรับปรุงพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรของเกษตรกรอย่างเป็นระบบ ตามหลักการ 3 ระบบ คือ  1.หนี้จากโครงการของรัฐที่ล้มเหลว ให้ยกเลิก 2.หนี้ในระบบ ธ.ก.ส. ,สหกรณ์และธนาคารพาณิชย์ ให้โอนเข้าสู่กองทุนฟื้นฟูฯและ 3. หนี้นอกระบบคือ จำนอง ,ขายฝาก,และสัญญาที่ยึดหลักทรัพย์เป็นประกันให้ไถ่ถอนเข้ากองทุน โดยการไถ่ถอนตามข้อ 1และ ข้อ 2 รัฐต้องจัดสรรงบประมาณสนับสนุนกองทุน เพื่อให้เกษตรกรที่เป็นหนี้กลายมาเป็นลูกหนี้ของกองทุนแทน เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเกษตรกรที่ได้รับการแก้ปัญหาหนี้ต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรตามระเบียบที่คณะกรรมกองทุนฯกำหนด  ส่วนกลไกการแก้ปัญหาหนี้ ดังกล่าว จะมีคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ขึ้นมาดำเนินการ จำนวน 20 คน และจัดตั้งคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และดำเนินการจัดการและแก้ไขปัญหาหนี้  พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูฯฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในเดือนก.ย. 2543 และผ่านการพิจารณาเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรสามวาระรวด ในวันที่ 27 พ.ย. 2543 ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเบื้องหลังฝีมือการผลักดันของนักการเมืองเพื่อหวังผลทางการเลือกตั้ง กลุ่มของนายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯขณะนั้น  พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯ ฉบับปลดแอกหนี้ ต้องเผชิญคลื่นซัดกระหน่ำอย่างหนักอีกครั้งเมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทย เข้ามาบริหารประเทศในต้นปี 2544 ขณะที่ร่างอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาวุฒิสภา เพราะรัฐบาลพยายามจะถอนร่างกลับคืนเพื่อให้กฎหมายตกไปตามเงื่อนรัฐธรรมนูญ ท้ายที่สุดกฎหมายจากการกดดันอย่างหนักเกษตรกร พ.ร.บ.กองทุนฯฉบับที่สองจึงผ่านสภาฯมีผลประกาศบังคับใช้ในที่ 31 ต.ค. 2544 โดยถูกตัดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบออก ปล่อยให้เผชิญชะตากรรมกับกลไกแก้ปัญหาของรัฐเดิมที่ไม่สอดคล้องกับปัญหาต่อไป  มิจฉาทิฐิรัฐ/ราชการ  บอนไซความฝันชาวนา  ตลอดระยะเวลาการบังคับใช้พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯเกือบ 3 ปี ที่ผ่านมา กองทุนหนึ่งเดียวที่เกษตรกรต่อสู้สร้างมากับมือเพื่อหวังให้เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาการประกอบอาชีพเกษตรและหนี้สินด้วยตัวของเขาเองต้องประสบวิบากกรรมมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่รู้จบสิ้นจากการพยายามเข้ามาขัดขวางเพื่อครอบงำทั้งจากส่วนราชการโดยเฉพาะกระทรวงเกษตร ฯ และฝ่ายนักการเมือง ซึ่งผูกขาดกับผลประโยชน์ในนโยบาย-โครงการพัฒนาและแก้ปัญหาภาคเกษตรมายาวนาน ซึ่งหวั่นวิตกกับการคุกคามช่องทำมาหากินจากการดำเนินการกองฟื้นฟูฯอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม  อย่างไรก็ตาม เมื่อมองผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว กองทุนฟื้นฟูฯ สามารถเป็นแหล่งแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เห็นได้จากแม้กองทุนจะเดินมาได้ชนิดเอาตัวแทบไม่รอด แต่ยอดจำนวนเกษตรกรจากทั่วประเทศได้สมัครขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูแล้วประมาณ 5.7-6 ล้านคน นับเป็นฐานการเมืองระบบจัดตั้งอย่างเป็นระบบที่หอมหวนยิ่งสำหรับนักการเมืองโดยเฉพาะฐานคะแนนระบบปาร์ตี้ลิสต์  จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีนักการเมืองจากขั้วต่างๆ แวะเวียนเข้ามากองทุนฟื้นฟูฯอย่างไม่ขาดสายในหลายรูปแบบก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในกองทุนมาตลอด นับตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ไม่ว่า นายเนวิน ชิดชอบ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในขณะนั้นจนสามารถผลักดันนายนที ขลิบทอง เพื่อสนิทของตัวเองเป็นเลขาธิการสำนักงานกองทุนคนแรกได้ รวมทั้งนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์สาย พล.ต.สนั่น ขจรประสาสน์ ที่เข้าผ่านกลุ่มมูลนิธิเกษตรกรไทยได้อย่างแนบเนียน เป็นต้น  กองทุนฟื้นฟูฯในยุคปัจจุบันภายใต้รัฐบาลพรรคไทยยรักไทย ดูเหมือนจะตกอยู่ในภาวะแทรกแซงทางการเมืองที่หนักสาหัสที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนฟื้นฟูฯมา ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงทางเมืองอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญที่สุดกองทุนฟื้นฟูฯ ไปลักลั่นกับนโยบายหลักของรัฐบาลนั่นคือ โครงการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี และกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท อนาคตกองทุนฟื้นฟูฯ จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งภายใต้รัฐบาลไทยรักไทย  การแทรงแซงกองทุนในยุครัฐบาลพรรคไทยรัฐไทย ข่าววงในแย้มว่า เป็นการปฏิบัติการโดยนักการเมืองไทยรักไทยกลุ่มนครศรีธรรมราช มีนายสุธรรม แสงปทุม อดีตรัฐว่าการทบวงมหาวิทยาลัย เป็นผู้นำทัพ และลูกกลุ่มที่ปรากฏตอนนี้ ล้วนเป็นส.ส.สอบตก จากนครศรีธรรมราช คือนายวิรัช ศักดิ์จิรพาพงษ์ ว่ากันว่าบุคคลที่กำลังคั่วตำแหน่งผู้จัดการธ.ก.ส.คนต่อไป และ นายสมาน เลิศวงรัตน์ อดีตนายทะเบียนพรรคไทยรักไทย ที่ทางกลุ่มได้ส่งมายึดตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานกองทุนฯพร้อมรักษาการไว้ล่วงหน้าก่อน ซึ่งปฏิบัติการนี้ได้รับการปกป้องอย่างเต็มที่จากกลุ่มคนเดือนตุลาฯในพรรคไทยรักไทยด้วย  “นับตั้งแต่นักการเมืองกลุ่มนี้เข้ามาในกองทุนฯ 5 เดือนแล้ว ไม่มีผลงานอะไรเลย นอกจาก 1.ไล่คนออก โดยเฉพาะ 51 หัวหน้าสำนักงานสาขาจังหวัดซึ่งเบื้องหลังเพราะไม่สามารถจัดโควต้าตามที่การเมืองต้องการได้ 2.จัดประกวดคัดเลือกโลโก้สำนักงานกองทุน และ 3.พยายามปรับโครงการสร้างสำนักงานบริหารกองทุนเพิ่มรองเลขาฯจาก 1 เป็น 4 คน อัตราเงินเดือนคนละ 8 หมื่นบาทเพื่อรองรับคนของตนเอง แต่ยังไม่สำเร็จ”แหล่งข่าววงในกล่าว  นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อาจารย์ประจำสถาบันราชภัฏนครราชสีมา กล่าวว่า พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรรายย่อย เป็นกฎหมายมีปัญหาต่อเนื่องมาตั้งแต่การประกาศใช้เดือนพ.ค. 2542 แต่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณประเดิมเพียง 1.8 พันล้านบาทในขณะที่เกษตรกรต้องการกู้เงินนี้ไปฟื้นฟูมากกว่า 5 ล้านครอบครัว จนถึงทุกวันนี้รอมาแล้ว 3 ปี เงินยังไม่ถึงมือเกษตรกรแม้แต่บาทเดียว  พอถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นต่อเนื่องคือไม่ค่อยสนใจกับกองทุนนี้แถมยังส่งคนของตนไปรับตำแหน่งสร้างความขัดแย้งอยู่ตลอด มิหนำซ้ำกองทุนนี้ยังถูกบริหารจัดการไม่โปร่งใส ที่สร้างคำถามให้เกิดขึ้นกับสังคม  รัฐบาลนี้สนใจการย้ายเงิน ไปยังกองทุนหมู่บ้าน และธนาคารประชาชนมากกว่า เพราะจะสามารถสร้าง “ระบบประชาภักดี” ได้มากและง่ายกว่าสร้างกลุ่มเกษตรกรที่มีการจัดตั้งเป็นสมัชชา และสหพันธ์ เพราะพวกนี้ควบคุมยากกลไกอำนาจในท้องถิ่นและข้าราชการก็ควบคุมไม่ได้  ดังนั้น ไม่น่าสงสัยอะไรเลยว่ากองทุนนี้จะถูกจัดการและเลี้ยงดูแบบบอนไซไปจนกว่าจะจัดระเบียบ การกู้ยืมที่เป็นเครื่องมือสร้างคะแนนนิยมและระบบประชาภักดีได้  “คาดว่าในปลายปี 2547 เกษตรกรราว4-5 ล้านคนจะสามารถเข้าถึงกองทุนนี้ และคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ก็จะเป็นของกลุ่มการเมืองในพรรคที่ปล่อยกู้นั้นต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว  นายนคร ศรีวิพัฒน์ เลขาธิการสมัชชาเกษตรกรรายย่อย กล่าวว่า รัฐบาลมีท่าทีเตะถ่วงและไม่สนใจที่จะปฏิบัติตามพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯทั้ง 2 ฉบับ เนื่องจากหากเกษตรกรสามารถบริหารจัดการกองทุนฯได้โดยลำพัง ทางการก็จะหมดความหมาย และหมดช่องทางทำมาหากิน อีกทั้งรัฐบาลยังไม่สามารถหาเสียงจากการปฏิบัติตามกฎหมายกองทุนฟื้นฟูฯเพราะเป็นกฎหมายที่เกิดขึ้นในสมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี  ความต้องการของเกษตรกรกลุ่มสมัชชาเกษตรกรราย่อยและมูลนิธิเกษตรกรไทยนับหมื่นคนที่เดินทางมาชุมนุม ครั้งแรกปิดล้อมหน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายเดือนม.ค.ที่ผ่านมา และครั้งที่ 2 กลุ่มสมัชาเกษตรกรรายย่อยหลายพันคนบุกปิดล้อมกระทรวงการคลัง เพียงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูฯทั้ง 2 ฉบับ ใน 2 ประเด็นหลักๆ คือ  1.ให้เร่งดำเนินการแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรที่มีอยู่ประมาณ 3 แสนล้านบาท ด้วยเร่งจัดตั้งสำนักงานจัดการหนี้สินของเกษตรกรและคณะกรรมการจัดการหนี้สินเกษตรกร ตามพ.ร.บ.กองทุนฯ โดยระหว่างการดำเนินให้เลื่อนการชำระหนี้ธ.ก.ส.และสหกรณ์ ของเกษตรกรออกไปจนกว่าจะสามารถดำเนินการได้ หากทำไม่ได้ให้ยกเลิกหนี้เกษตรกรทั้งหมด 3 แสนล้านบาท  2.ให้แก้ปัญหาการแทรกแซงทางการเมืองในกองทุนฟื้นฟูฯ ด้วยการปลดนายสมาน เลิศวงรัตน์ รองเลขาฯและรักษาการเลขาธิการสำนักงานกองทุน พร้อมแก้ปัญหาในส่วนคณะกรรมการบริหารกองทุนที่ผูกขาดโดยฝ่ายราชการและตัวแทนนักการเมือง ด้วยการปลดนายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง ออกจากตำแหน่งประธาน เพื่อให้กองทุนดำเนินไปตามกฎหมาย  ทั้งนี้เพราะ คณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูฯและคณะกรรมการจัดการหนี้ ซึ่งเป็น”สองขา”ของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูฯชุดใหญ่ที่ มีความสำคัญควบคู่กันไป  โดยขาหนึ่งทำหน้าที่จัดการหนี้ ส่วนอีกขาหนึ่งทำหน้าที่ฟื้นฟู เมื่อคณะกรรมการบริหารกองทุนฯไม่ได้รับการยอมรับ และไม่เร่งดำเนินการตามกฎหมาย อีกทั้งยังบริหารงานภายใต้กรอบความคิดเดิมของข้าราชการ ส่งผลให้องคาพยพอื่นๆ ในภาพรวมทำงานไม่ได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้เกษตรกรเป็นอิสระ  “เกษตรกรนับหมื่นคนเดินทางมาชุมนุมที่กรุงเทพฯแล้ว 2 ครั้งไม่เพียงพอที่จะได้รับความใส่ใจจากรัฐบาลชุดนี้ หลังเทศกาลสงกรานต์จะเป็นการระดมสมาชิกครั้งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพื่อเข้ามาปักหลักชุมนุมยืดเยื้อที่กรุงเทพฯจนกว่าจะได้รับการแก้ไขปัญหา ซึ่งกลุ่มมูลนิธิเกษตรกรไทยเองก็จะระดมสมาชิกเข้ามาปักหลักชุมนุมครั้งใหญ่กรุงเทพฯหลังสงกรานต์เช่นกัน” เลขาธิการสมัชชาเกษตรกรรายย่อย กล่าว
ที่มา: นสพ.ผู้จัดการรายวัน

กลับไปหัวข้อข่าว


 

 
Send mail to CompanyWebmaster with questions or comments about this web site.
Last modified: