สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
สาขาจังหวัดบุรีรัมย์
มีอะไรใหม่
ข้อมูลเชิงแผนที่
ที่ติดต่อ
What's New
ยุทธศาสตร์และภารกิจ
งานของกองทุนฯ
F.A.Q
ดาวน์โหลดเอกสาร
ความรู้
แบบขึ้นทะเบียนองค์กร
องค์กรแยกอำเภอ
Home



วันที่ 28-08-2546


 

ปชป.จี้สอบ กองทุนฟื้นฟู ทรท.ผลาญ200ล.
 
 
 
     ปชป.ตั้งทีมสอบกองทุนฟื้นฟู  ประชาธิปัตย์ เตรียมตั้งคณะทำงาน สอบการบริหาร กองทุนฟื้นฟู และพัฒนาเกษตรกร 3 ประเด็น ไม่โปร่งใส -ไร้ประสิทธิภาพ -การเมืองแทรกแซง ยันรัฐบาล ปชป.ริเริ่มตั้ง  "อภิสิทธิ์" จวกรองเลขาฯ กองทุนฟื้นฟูวิจารณ์นโยบาย ปชป.เหมือนเป็นตัวแทนพรรคการเมือง "อลงกรณ์" แฉรัฐบาล ทรท.ผลาญงบกองทุนไปกว่า 200 ล้าน ขณะที่ "อมร" แถลงโต้ จวก ปชป.แอบอ้าง แฉกลับ "ชวน" เซ็นระเบียบอัปยศ ทำให้กองทุนเป็นง่อย แฉ "ชวน" เซ็นออกระเบียบซ่อนปม เอื้อให้มีการคอรัปชั่นถูกกฎหมาย ย้อนถามผิดด้วยหรือที่รู้จัก "ภูมิธรรม"  นโยบาย "ปรับลดปลดหนี้เกษตรกร" ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่ถูกนายอมร อมรรัตนานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรค ปชป.ลอกเลียนมาจากนโยบายกองทุนฟื้นฟูนั้น ได้กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมา หลังจากข้อกล่าวหาของนายอมร ได้สร้างความไม่พอใจให้สมาชิกพรรค ปชป.อย่างมากจนมีการตอบโต้กันอย่างรุนแรง  โดยนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี กรรมการบริหารพรรค ปชป.ได้ออกมาตอบโต้นายอมรเช่นกันว่า เป็นการวิจารณ์ที่คลาดเคลื่อนและบิดเบือนจากความเป็นจริง เพราะพ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟู ได้ยกร่างฉบับแรกขึ้นในสมัยรัฐบาลที่พรรค ปชป.เป็นแกนนำ ซึ่งมีตนเป็นประธานคณะทำงานยกร่างฯ ร่วมกับตัวแทนของเกษตรกร 14 องค์กร จนสามารถประกาศใช้ เป็นกฎหมายได้สำเร็จ และถือเป็นฉบับแรกของประวัติศาสตร์ ที่ภาคเกษตรกร ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ส่วนที่อ้างว่า กฎหมายฉบับนี้ เกิดในสมัยรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้น กลุ่มเกษตรกร ได้มาเรียกร้องให้แก้ปัญหาหนี้สิน ทั้งในและนอกระบบ และมีการเสนอ ให้ตั้งในรูปแบบของกองทุน แต่เกษตรกรกลับถูกหลอก โดยรัฐบาลสมัยนั้นได้ตราเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่ทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า การตั้งเป็นกองทุน จะต้องออกเป็น พ.ร.บ.เท่านั้น จึงทำให้เกิดความล้มเหลว จนต้องมีการยกเลิกกองทุนในที่สุด  นายอลงกรณ์ กล่าวว่า ในสมัยรัฐบาลพรรค ปชป.ได้ออกกฎหมายแก้ไขและปรับลดปลดหนี้ทั้งในและนอกระบบ และตั้งสหกรณ์ขึ้นมา โดยรัฐบาลให้ทุนประเดิม 1.8 พันล้านบาท แต่หลังจากรัฐบาลพรรค ทรท.เข้ามาบริหารประเทศได้ 2 ปี 8 เดือน ก็มีการผลาญงบของกองทุนไปกว่า 200 ล้านบาท โดยในการจ้างเงินเดือนพนักงานก็จ้างในราคาสูงและไม่โปร่งใส และที่สำคัญยังไม่มีการจ่ายเงินกองทุน เพื่อช่วยเกษตรกรแม้แต่บาทเดียว  อีกทั้งรัฐบาลชุดนี้ได้แก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับเงื่อนไขการใช้เงินกองทุน โดยตัดโครงสร้างหนี้นอกระบบออกจากกฎหมาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจและจริงจังในการแก้ไขปัญหาหนี้ตามแนวทางกองทุนที่วางไว้ เพราะไม่มีนโยบายแก้ปัญหาอย่างครบวงจร โดยมีเพียงโครงการฟื้นฟูเกษตรกรหลังพักชำระหนี้ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ชี้ว่า โครงการนี้ก่อให้เกิดความล้มเหลวและไม่โปร่งใสและขอให้ยุติโครงการ  พรรค ปชป.จะตั้งคณะทำงานสอบสวนความไม่โปร่งใสในการบริหารกองทุนฟื้นฟู ใน 3 ประเด็น คือ ความไม่โปร่งใส, การไร้ประสิทธิภาพในการใช้เงินกองทุน และมีการแทรกแซงทางการเมือง ขอให้มาต่อสู้ทางนโยบายในทางสร้างสรรค์ไม่ควรต่อสู้ด้วยวาทะทางการเมือง เพราะไม่เกิดประโยชน์และหากรัฐบาล ทรท.ประสงค์ที่จะปรับปรุงนโยบายของรัฐบาลในเรื่องนี้ พรรค ปชป.ก็พร้อมให้คำแนะนำ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรบรรลุวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง นายอลงกรณ์ ระบุ  ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน เพราะผู้ที่ทำงานในกองทุนฟื้นฟูน่าจะดีใจที่กองทุนจะมีการพัฒนา และเรื่องนี้น่าจะเป็นหน้าที่ของฝ่ายการเมืองมากกว่า กองทุนนี้และกฎหมายฉบับนี้ก็เกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลที่แล้ว และก็แปลกใจว่า คนที่เข้ามาทำงานในกองทุน เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์เสมือนเป็นตัวแทนพรรคการเมือง ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นภารกิจที่เมื่อพรรค ปชป.ได้เริ่มต้นไว้และน่าจะทำต่อไป และยังคิดว่าคนที่ทำงานในกองทุนนี้จะสนับสนุนแนวทาง  ทางด้าน นายอมร ก็ได้เปิดเแถลงตอบโต้พรรค ปชป.ในวันเดียวกัน โดยกล่าวว่า ที่กล่าวอ้างว่า พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูเกิดในสมัยพรรค ปชป.ว่า ความจริงกองทุนฟื้นฟู เกิดจากรวมตัวของเกษตรกรชาวอีสานหลายหมื่นคน ได้เดินทางเข้ามาเรียกร้องสมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต และรัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาศึกษาเรื่องนี้ โดยมีนายอดิศร เพียงเกษ เป็นประธาน ส่วนคณะกรรมการ ประกอบด้วย แกนนำเกษตรกรชาวอีสาน ประมาณ 50 คน โดยยกร่าง พ.ร.บ.นี้ขึ้นมา ซึ่งกฎหมายเกือบจะเสร็จแล้ว แต่ พล.อ.ชวลิต ประกาศลาออก จึงทำให้กฎหมายฉบับนี้หยุดชะงักไป  เมื่อมาถึงสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ถ้ามีความจริงใจ และจริงจังในการแก้ไขปัญหา พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็คงไม่พิกลพิการ เหมือนที่เป็นอยู่ เพราะมาจากนายอำนวย ปะติเส อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ที่เป็นผู้ประสานงาน ในการแก้ไขปัญหาเกษตรกรในเวลานั้น ได้พยายามออกมาล็อบบี้กลุ่มเกษตรกร ว่ามีความจำเป็นจะต้องแยก พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟู ออกเป็น 2 ฉบับ โดยอ้างว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือคนรวย ส่วนกลุ่มเกษตรกรเอาไว้ที่หลัง  พ.ร.บ.ฉบับแรกในปี 2542 จึงออกมาด้วยเงื่อนไข และเนื้อหาที่ให้เงินสนับสนุนฟื้นฟูอย่างเดียว ส่วน พ.ร.บ.ฉบับที่สอง ที่เกี่ยวกับเรื่องการจัดการ และการปรับโครงสร้างหนี้ นายอำนวยได้ขอว่า ยังไม่สามารถที่จะออกให้กลุ่มเกษตรกรได้ ตรงนี้ได้แสดงถึงเจตนา และวิธีการคิดในการแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มเกษตรกร ว่า ในวันที่รัฐบาลชวนมีอำนาจ แต่ไม่เคยคิดที่จะหยิบยกปัญหาเกษตรกรมาแก้ไขอย่างจริงจัง จนถึงปลายปี 2543 ก่อนการเลือกตั้ง  "อมร"แฉ ปชป.เอื้อคอรัปชั่นถูกกฎหมาย  ด้วยความชาญฉลาดทางการเมือง พรรค ปชป.ได้หยิบเอา พ.ร.บ.ฉบับที่สอง เข้าสู่สภาในวาระก่อนการเลือกตั้ง ตรงนี้เป็นเหตุทำให้เกษตรกร เสียโอกาสในการที่จะนำเอา พ.ร.บ.นี้ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ดังนั้น ตนจึงเห็นว่า หากรัฐบาลชวนมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรในเวลานั้น ก็ควรจะคลอด พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับออกมาอย่างรวดเร็ว  "ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ในระเบียบดังกล่าว มีการซ่อนเงื่อนปม ในการคอรัปชั่นกินค่าหัวคิว โดยถูกกฎหมาย ซึ่งระเบียบดังกล่าวผมไม่แน่ใจว่า เป็นลายเซ็นของนายชวน หลีกภัย นายกฯ ในขณะนั้นหรือไม่ ที่ได้ลงลายเซ็นในวันที่ 21 มี.ค.2543 ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่เชื่อว่า ลายเซ็นดังกล่าวจะเป็นของนายชวน ซึ่งผมจะต้องไปตรวจสอบดูอีกครั้ง เพราะว่าในระเบียบที่ออกมา มีข้อสงสัยอยู่หลายประเด็น คนอย่างนายชวนเป็นนักกฎหมายมือหนึ่งของบ้านเมือง และเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต และเคารพหลักการ หลักเกณฑ์ของนิติธรรม ระเบียบต่างๆ  เหล่านี้ทำให้ผมไม่เข้าใจว่า การที่นายชวนเซ็นลายมือลงในระเบียบฉบับนี้ได้อย่างไร เนื่องจากระเบียบดังกล่าว มีเงื่อนปมซ่อนอยู่ ซึ่งผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่านายชวนเซ็นไปได้อย่างไร เพราะระเบียบนี้มีความอัปยศ ทำให้เกษตรกรและผู้บริหารคนแล้วคนเล่า มีความอึดอัดต่อระเบียบ และในการดำเนินกิจกรรมของกองทุน ไม่สามารถจะนำเงินออกไปใช้จ่ายได้ นายอมร กล่าว และว่า  พ.ร.บ.ฉบับนี้เกิดจากเกษตรกรที่ออกมาเรียกร้องต่อสู้ และเป็นเรื่องบังเอิญที่แผนการดำเนินงานของพรรค ปชป.ที่ประกาศเมื่อวันที่ 23 ส.ค.46 มาตรงกับแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ของกองทุนฟื้นฟูที่ได้วางแผนไว้ในระยะ 2547-2551 และอยากขอร้องพรรค ปชป.วันที่คุณมีอำนาจ แต่คุณไม่ได้ช่วยเหลือเกษตรกรเลย และไม่ได้ทำให้องค์กรเกษตรกรเข้มแข็ง แต่มาวันนี้พวกคุณกลับคิดได้ แต่ไม่ควรแอบอ้างนำสิ่งที่พวกคุณไม่ได้ทำ มาเป็นผลงานของตัวเอง ถ้าอยากพูดก็ขอให้พูดในข้อเท็จจริง ไม่ควรนำเกษตรกรมาเป็นเครื่องมือ หรือกลเกมทางการเมือง  ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรค ปชป.ระบุว่า การเข้ามานั่งในตำแหน่งรองเลขาธิการกองทุนฟื้นฟู เพราะได้รับการสนับสนุนพรรค ทรท.นายอมร กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ และรู้จักกับนักการเมืองหลายคนในพรรค ทรท.โดยเฉพาะคนที่เป็นรุ่นพี่ เป็นเพื่อน และเป็นนักกิจกรรม ที่เคยร่วมคิดร่วมทำกันมาในอดีต "มันผิดด้วยหรือที่ผมจะรู้จักนายภูมิธรรม เวชยชัย รองเลขาธิการพรรคทรท.ในฐานะที่เป็นคนเดือนตุลาด้วยกัน และการเข้ามาของผม ก็ผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการ ด้วยเพราะความสามารถส่วนตัว แต่การออกมากระแหนะกระแหน โดยใช้ลีลาวาจาของนักการเมืองน้ำเน่า เป็นเรื่องของนักการเมืองสมัยเก่า"  เมื่อถามว่า พรรค ปชป.จะตั้งคณะทำงานขึ้นมาติดตามการทำงานของกองทุนฟื้นฟู นายอมร กล่าวว่า ตนพร้อม และยอมรับที่จะให้เข้ามาตรวจสอบการทำงาน เพราะมั่นใจว่าการทำงานของกองทุน ทำด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้  ทรท.เร่งแก้โครงสร้างบริหาร กทม.  ส่วนการสรรหาผู้ลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รมว.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ทรท. ยอมรับว่าวานนี้ ( 26 ส.ค.) ได้เข้าพบ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ห้องทำงานชั้น 5 ตึกบัญชาการ 2 ทำเนียบรัฐบาล และได้มีการหารือเรื่องการลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ด้วย และ ส.ส.กทม.เห็นว่าท่านมีความเหมาะสมแต่ขอให้ถึงเวลาตนจะได้แจ้งให้ทราบต่อไป  อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การคัดสรรผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.นั้น ยังไม่ลงตัว และ ร.ต.อ.ปุระชัยเองก็ยังไม่ได้ปฏิเสธ ข่าวที่ออกมาไม่ตรงกับความจริงมากนัก เพราะทุกอย่างยังไม่สรุป ซึ่งสิ่งที่พรรคเตรียมอยู่ในขณะนี้คือการเสนอให้มีการปรับโครงสร้างการบริหารงานของ กทม. โดยจากการสำรวจของพรรคเอง พบว่าประชาชนรู้สึกว่า การแก้ไขปัญหาของ กทม.ยังไม่ลงลึกถึงชาวบ้านมากนัก ดังนั้นพรรคเตรียมจะเสนอการบริหารงานใหญ่โดยอาจจะต้องปรับปรุงกฎหมายไม่ให้มีผู้ว่าฯ กทม.เพียงคนเดียว ที่มีอำนาจในการแก้ไขปัญหา แต่อาจจะต้องมีโครงสร้างระดับย่อยลงไปอีก เพื่อให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และการรับรู้ปัญหาของชาวบ้านเอง ก็จะง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน  การปรับโครงสร้างบริหารงาน กทม. พรรคได้มอบหมายให้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ดูแลอยู่ ซึ่งเกือบจะแล้วเสร็จ คิดว่าคงอีกไม่นาน จากนั้นจะต้องนำไปหารือกับนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯ กทม. ด้วย หลังจากการปรับโครงสร้างบริหารของ กทม. พรรคจึงจะเสนอนโยบาย และประกาศตัวผู้รับสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ต่อไป 
ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
 
Send mail to CompanyWebmaster with questions or comments about this web site.
Last modified: