![]() ![]() |
สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดบุรีรัมย์ |
![]() |
|
![]() |
สืบเนื่องจากกระบวนการมีส่วนร่วมการแก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยจำนวนเกษตรกรสมาชิกมูลนิธิเกษตรกรไทย 3,665 ราย ที่ได้รับการช่วยเหลือเสร็จสิ้น โดยงดคิดดอกเบี้ยปรับเป็นระยะเวลา 1 ปี ฤดูกาลผลิต 1 เมษายน 2537-31 มีนาคม 2538 แล้วการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและแกนนำ 6 อำเภอ มีข้อสรุปว่าแก้ไขปัญหาโดยลำพังมูลนิธิเกษตรกรไทย เท่าที่ผ่านมาได้ข้อสรุปเป็นบทเรียนคือ การต่อสู้เพื่อสิทธิขอเกษตรกรบนพื้นฐานของการสูญเสียของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะเป็นพลังบริสุทธิ์ มุ่งเป้าที่ปัญหาเป็นที่ตั้ง กว่าจะประสบผลสำเร็จ ต้องเผชิญกับปัญหานานับประการ และการสูญเสีย ขณะที่ภาคอีสานมีองค์กรของเกษตรกรจำนวนมากที่กำลังต่อสู้เพื่อปัญหาของเกษตรกร จึงเห็นชอบเชิญองค์กรที่มีหลักยึดอุดมการณ์ร่วมกันสร้างพันธมิตร ยึดปัญหาเป็นที่ตั้ง แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง พระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 ได้ประกาศใช้และมีผลบังคับใช้ ณ วันที่ 18 พฤษภาคม 2542 เกิดปรากฏการณ์ใหม่ขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานคือการรับรู้ถึงกฎหมายฉบับนี้ของเกษตรกรมีมากกว่าส่วนราชการ หรือกลุ่มอื่นๆ มีทั้งพฤติกรรมความเห็นแย้งและการโต้ตอบจากกลุ่มที่ติดตามไม่เท่าทันความเคลื่อนไหว และกลุ่มที่เข้าใจกันเห็นประโยชน์ ต้องการใช้กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งค่อนข้างเกื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรอันเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศ เช่น มีพรรคการเมืองบางพรรคถึงกับการนำเสนอเป็นนโยบายพรรค เพิ่มเงินกองทุนฟื้นฟูและการพัฒนาเกษตรกรปีละ 50,000 ล้าน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี หากฝ่ายการเมืองให้ความสนใจเรื่องของเกษตรกร เช่นเดียวกับ เรื่องของกองทุนฟื้นฟู ขณะนี้อาชีพเกษตรกรรมอันเป็นหลักค้ำยันประเทศคงไม่พัฒนาจนล้าหลังขนาดนี้ อย่างไรก็ดีหลังกฎหมายประกาศมีผลบังคับใช้มีกระบวนการดำเนินตามกฎหมายและความเคลื่อนไหวต่างๆ มากมาย 1.ปฏิญญา 5 องค์กรสถาบันเกษตรอีสาน องค์กรสถาบันเกษตรกรอีสาน ประกอบด้วย
2.จุดเริ่มต้นกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร การประชุมร่วมระหว่างส่วนราชการและมูลนิธิเกษตรกรไทย วันที่ 26 ธันวาคม 2539 ณ สถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น (นายธวัช เสถียรนาม) เป็นประธานที่ประชุมประกอบด้วย นักวิชาการ ผู้ชำนาญการด้านชลประทาน อุตสาหกรรมขนาดย่อม สหกรณ์ ธกส. และผู้แทนมูลนิธิ โดยมีประเด็นหารือ คือ เกษตรกรที่ได้รับการผัดผ่อนหนี้แล้วข้างต้นจะส่งเสริมให้มีการสร้างรายได้อย่างไร จึงจะมีการชำระหนี้ที่ค้างได้ และเกษตรกรที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือแต่อยู่ในเงื่อนไขที่ต้องให้การช่วยเหลือ จะทำอย่างไร การแลกเปลี่ยนในที่ประชุมเห็นว่าควรมีโครงการนำร่องพิเศษฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ในพื้นที่ 6 อำเภอ เพื่อส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืนทั้งในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร โดยมีส่วนร่วมของเกษตร ภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา แต่ที่ประชุมไม่มีข้อยุติทางเลือกเนื่องจากมิใช่ฝ่ายนโยบายแลไม่มีอำนาจหน้าที่ วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2539 มูลนิธิเกษตรกรไทย ได้เสนอโครงการฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร 6 อำเภอจังหวัดขอนแก่น ต่อ ฯพณฯ ขอนแก่น เพื่อร่วมประชุมกับคณะกรรมการร่วมสถาบันเกษตรอีสานที่ห้องประชุมสำนักงานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น โดยมีโครงการฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร จะมีเกษตรกรได้รับผลประโยชน์จากโครงการ จำนวน 37,542 คน แต่ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจากนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ในขณะนั้น 3.กระบวนการขับเคลื่อนกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร พ.ศ. 2540 23 มกราคม 2540 เกิดแนวร่วมสถาบันเกษตรกรภาคอีสาน ซึ่งแปรสภาพ 5 องค์กร สถาบันเกษตรกรอีสานเหลือ 3 องค์กร คือ
ได้ยื่นข้อเรียกร้อง ต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผ่านรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชิงชัย มงคลธรรม ประเด็นที่สำคัญ คือ
การชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 1 : สำนักงานเกษตร ต.ท่าพระ จ.ขอนแก่น 24 มีนาคม 2540 มูลนิธิเกษตรกรไทย เป็นแกนนำในแนวร่วมสถาบันเกษตรกรภาคอีสาน (นกอ.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่บริเวณสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดขอนแก่น ต.ท่าพระ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีสมาชิกร่วมประชุมประมาณ 90,000 คน และได้มี ฯพณฯ นายชิงชัย มงคลธรรม มาร่วมบันทึกข้อตกลงในฐานะตัวแทนรัฐกับผู้แทน นกอ. โดยมีสาระคือ
การประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2 : สำนักงานเกษตร ต.ท่าพระ จ.ขอนแก่น วันที่ 26 พฤษภาคม 2540 การแก้ไขปัญหาใดๆ ตามข้อตกลงที่ ฯพณฯ นายชิงชัย มงคลธรรม มาร่วมลงบันทึกสัญญา ไม่เกิดเป็นรูปธรรมแม้แต่การแต่งตั้งคณะกรรมการร่วม / อนุกรรมการกลุ่มปัญหา อีกทั้งได้รับคำชี้แจงจาก รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคู่สัญญาว่า หากอยากให้รัฐบาลแก้ปัญหาหนี้สินเกษตรกรได้ ให้ไปเอากับรัฐบาลดาวอังคาร แกนนำองค์กร โดยมูลนิธิเกษตรกรไทยจึงนัดหมายประชุมสมัยวิสามัญของ นกอ. ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 ที่สำนักงานเกษตรฯ ต.ท่าพระ ที่เดิมและมีพิธีสาปแช่งเผาหุ่นของเสนนาบดี ไม่จริงใจกับการแก้ปัญหาของเกษตรกรด้วย ในวันดังกล่าว จึงเป็นประวัติศาสตร์ขององค์กรเกษตรกรที่สมาชิกเกษตรกรกว่า 135,000 คน มาร่วมประชุม และรอรับฟังความคืบหน้าการแก้ไขปัญหา ณ ที่ประชุม ตั้งแต่เวลา 05.00 น.-14.00 น. เหตุด้วยความแออัดยัดเยียด ความร้อนจากแดดแผดเผา และน้ำดื่มที่ทางราชการนำมาบริการไม่เพียงพอแกนนำองค์กรจึงตัดสินใจนำสมาชิกเกษตรกรกว่า 100,000 คน เดินทางไปผ่อนคลายความร้อน และหาน้ำดื่มบริเวณลำน้ำชี ทำให้ถนนเส้นทางตั้งแต่สำนักงานเกษตรฯ ท่าพระถึงถนนมิตรภาพบริเวณแก่งน้ำต้อน บ้านกุดกว้าง อ.เมืองขอนแก่น ระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร เต็มไปด้วยเกษตรกรผู้เดินทางทั้งที่สวมร้องเท้าและเดินด้วยเท้าเปล่า อันเป็นธรรมชาติวิสัยของเกษตรผู้ทำงานหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ที่มิเคยย่อท้อ กว่าระยะเวลา 1 ชั่วโมง ที่ถนนมิตรภาพเปิดทางสัญจรทางเท้า ปิดบริการสัญจรของยวดยาดพาหนะทุกชนิด รัฐบาลได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 172 / 40 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2540 สั่งการให้ ฯพณฯ นายอดิศร เพียงเกษ รมช.กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีฯ เป็นผู้รับมอบจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรคนยากคนจน โดยมีคำมั่นสัญญา ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศต่อสาธารณชนเรือนแสนว่า ถ้าแก้ไขปัญหาพี่น้องเกษตรกรคนยากคนจนไม่ได้ ขอไปกระโดดน้ำโขงตายดีกว่า เป็นหลักประกันที่ประชาชนมั่นใจว่าการแก้ไขปัญหาจะเป็นผลสำเร็จ (เอกสารประกอบ 3) คณะกรรมการร่วมฯ โดยมี ฯพณฯ อดิศร เพียงเกษ เป็นประธานได้ใช้กระทรวงวิทยาศาสตร์เป็นจุดนัดพบคณะกรรมการร่วมฯ และใช้โรงสูบน้ำพลังไฟฟ้า บ้านหนองบัวดีหมี ต.ท่าพระ เป็นศูนย์อำนวยการร่วมฯ มีคณะกรรมการร่วม และคระทำงานที่แต่งตั้งขึ้น 10 คณะ คือ
ผลการทำงาน ของคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการกับแนวร่วมสถาบันเกษตรกรภาคอีสาน ปัญหาหนี้สินเกษตรกร และสถาบันเกษตรกร และกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร มีข้อสรุปดังนี้ 1.กลุ่มปัญหาหนี้สินเกษตรกร และสถาบันเกษตร
2.โครงการกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร : กองทุนหลงขบวนผลงานโชว์วิสัยทัศน์รัฐบาลเป็นโครงการหนึ่งเดียวที่บรรเทาเกษตรกรทั้งหลายต่างจังหวัดเป็นที่พึ่งสุดท้าย เพื่อเป็นทุนในการดำเนินการทำมาเลี้ยงชีพ และเป็นที่มาแห่งรายที่จะนำไปชำระหนี้ที่ได้เสนอแขวนไว้รอ / ขยาย ระยะเวลาชำระ / ลดดอกเบี้ย และหนี้เดิม ๆ ที่ผูกพันตามกระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้สิน (ถ้าสำเร็จ) โดยคณะกรรมการร่วม ฯได้ดำเนินการ ดังนี้ วันที่ 18 สิงหาคม 2540 เสนอหลักการโครงการจัดตั้งกองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรและร่างระเบียบสำนักนายกรับมนตรี ว่าด้วยเงินกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร พ.ศ. 2540 เสนอ ฯพณฯ นายอดิศร เพียงเกษ ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 สิงหาคม 2540 เลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลังพิจารณา และมีผลสรุป คือ
ทั้งนี้ ฯพณฯ รมว.กระทรวงการคลัง (นายทนง พิทยะ) ได้ให้ความเห็นว่า เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นระบบ ควรรวมกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรให้รวมกันอยู่ในหน่วยงานเดียวและควรนำเสนอ ครม. พิจารณาโดยให้มีการตราเป็นกฎหมายรับรองขึ้น (หนังสือด่วนที่สุดที่ กค. 0526.5 / 35427 2 ตุลาคม 2540) แต่ตัวแทนที่รัฐบาลมอบหมายให้มาดูแล คือ รมช.อดิศร เพียงเกษ มิได้เอาใจใส่ที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อวินิจฉัยการแก้ปัญหา และสิ่งน่าละอายใจอย่างยิ่งก็คือ การกระทำพฤติกรรมนักการเมือง และนักกฎหมายของกระทรวง / กรมต่าง ๆ ที่มาร่วมยกร่างโครงการและระเบียบดังกล่าว ทั้ง ๆที่รู้อยู่ว่าเมื่อเสนอไปจะมีคำตอบอย่างไร เพราะมี พรบ.เงินคงคลัง มาตร 21 พ.ศ. 2491 ซึ่งได้กำหนดจำกัดกรอบไว้แล้วยังฝืนดำเนินการ ชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 3 : สนามกีฬากลางจังหวัดขอนแก่น 17 พฤศจิกายน 2540 มูลนิธิเกษตรกรไทย สมาชิกประมาณ 64,650 คน ได้ร่วมเสนอปัญหาเกษตรกร ต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีผ่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่สนามกีฬากลางจังหวัดขอนแก่น ให้ดำเนินการสืบเนื่องเรื่องที่ค้างคาจากการดำเนินงานที่ไม่บรรลุผลจากรัฐบาลที่ผ่านมา และ 14 มกราคม 2541 นายกรัฐมนตรี นายชวน หลีกภัย ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาคราชการกับผู้แทนมูลนิธิเกษตรกรไทย เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ค้างอยู่ ตามสรุปข้อเรียกร้อง คือ
ชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 4 : สนามหน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น 23-25 พฤษภาคม 2541 หลังการวมตัวขององค์กรเกษตรกรในนามคณะกรรมการประสานงานองค์กรภาคอีสาน (คปอ.) ได้ชุมนุมกันที่สนามหน้าศาลากลาง จ.ขอนแก่น กว่า 75,000 คน โดยมีสมาชิกมูลนิธิเกษตรกรไทยเป็นกำลังหลัก เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาเกษตรกรได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมาย การฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรดีขึ้น โดยมีตัวแทนร่วมเป็นกรรมการภาคราชการและภาคเกษตรฝ่ายละ 10 คน ให้มีผลเสนอต่อรัฐบาลภายใน 15 วัน โดยมีสรุปร่วมระหว่างภาครัฐ กับเกษตรกร 2 ประการ คือ การแขวนหนี้เกษตรกรผู้ประสบภาวะวิกฤติปัญหาหนี้สิน โดยดำเนินการให้เห็นผลทางปฏิบัติ ตรากฎหมายกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร และออกระเบียบกองทุนฟื้นฟูชีวิตเกษตรกรประกอบกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อให้มีผลปฏิบัติ ทั้งนี้ ทั้งข้อ 1 และ ข้อ 2 จะต้องดำเนินการให้เป็นรูปธรรมก่อนวันครบรอบ 66 ปี ประชาธิปไตย คือ วันที่ 24 มิถุนายน 2541 นี้ อนึ่ง การตรากฎหมายฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร องค์กรเกษตรกรในนาม คปอ. เริ่มมีความคิดเห็นแตกต่างกัน กลุ่มมูลนิธิเกษตรกรไทย เห็นชอบกับการตราเป็นพระราชบัญญัติ (พรบ.) แต่ต้องแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ตามระยะเวลาที่กำหนด ส่วนอีกหลาย ๆ องค์กรยืนยันว่า ต้องตราเป็นพระราชกำหนด (พรก.) เท่านั้น อาจเพราะมีเหตุผลเพื่อการชุมนุมใหญ่ 66 ปี ประชาธิปไตย ที่กรุงเทพมหานครและคาดว่าจะระดมเกษตรกรจากทุกองค์กรและประชาชนภาคอื่น ๆเป้าหมายที่จำนวน 100,000 คน โดยจุดหมายหลักเพื่อการอื่น มิใช่ที่ปัญหาเกษตรกร 23 มิถุนายน 2541 ที่บ้านมังคศิลา กรุงเทพมหานคร คณะกรรมการพิจารณาร่าง พรบ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร แล้วเสร็จโดยการมีรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองนายอำนวย ปะติเส เป็นประธานกรรมการ มีองค์กรเอกชนที่มีคุณูปการต่อการยกร่าง พรบ. ฉบับนี้คือสถาบันนโยบายกฎหมายเพื่อสังคม และผู้นำเกษตรกรร่วมยกร่างจนแล้วเสร็จ และที่ประชุมคณะกรรมการเห็นชอบให้นำเสนอในนามรัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้นำเสนอสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2541 มูลนิธิเกษตรกรไทยได้ประกาศถอนตัวจากการร่วมสังฆกรรมกับ คปอ. โดยเด็ดขาด 15 ตุลาคม 2541 สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 20 ปีที่ 2 ครั้งที่ 33 ได้พิจารณาลงมติรับหลักการ ร่าง พรบ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ .. โดยมีนายอโศก ประสานสอน ประธานมูลนิธิเกษตรกรไทย ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญ นายสไกร พิมพ์บึง เลขาธิการมูลนิธิ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมมาธิการฯ โดยมีคณะกรรมการชุดนี้มี ฯพณฯ รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเนวิน ชิดชอบ เป็นประธาน ชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 5 : ท้องสนามหลวง (สภาเกษตรกรไทยครั้งที่ 1) 3-13 กุมภาพันธ์ 2542 กองทัพเกษตรกรภาคอีสานของมูลนิธิเกษตรกรไทย ในนามสภาเกษตรกรไทย ร่วมกับพรรคพลังธรรม พร้อมด้วยสมาชิก 19 จังหวัดภาคอีสาน จำนวนกว่า 30,000 คน เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้สิน และการฟื้นฟูภาคเกษตรโดยเรียกร้องต่อรัฐบาล คือ 1. ปัญหาหนี้สินเกษตรกร ขอให้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกรและเกษตรกรผู้เดือดร้อนที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ดังนี้
2. การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
นโยบายและแนวทางปฏิบัติที่ส่งเสริมสหกรณ์
ทั้งนี้ 4.1 และ 4.2 ให้มีผลในทางปฏิบัติ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2542 เป็นต้นไป องค์กรเพื่อการแก้ไขปัญหา
การชุมนุมใหญ่ ณ ท้องสนามหลวง เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งต่อการนำพิจารณาเห็นชอบ พรบ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร โดยมีข้อเสนออันเป็นมาตราการขั้นเด็ดขาดของการชุมนุม เพราะก่อนหน้านี้สภาไม่ได้ให้ความสนใจร่างกฎหมายฉบับนี้เท่าที่ควร แต่ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2542 สภาได้หยิบยกพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วน ซึ่งนับเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการจัดคิวลำดับก่อนหลังของการพิจารณากฎหมายในสภาได้เป็นอย่างดี เป็นบทสรุปว่า การได้มาซึ่งมีสิทธิจะพึงมีพึงได้ของชนชั้นใดๆ จะไม่ได้ทาโดยการหยิบยื่นให้แต่ได้โดยการดิ้นรน แย่งชิง กรกฎาคม สิงหาคม 2542 เลือกตั้งผู้แทนเกษตรกรตามสัดส่วนทั้ง 4 ภาค และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ลงนามแต่งตั้งที่ได้รับเลือก ดังนี้
กันยายน ธันวาคม 2542
ชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 6 : สนามหน้าศาลากลาง จ. ขอนแก่น เนื่องจากการดำเนินการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเป็นไปด้วยตวามล่าช้า และขาดความเอาใจใส่อย่างจริงจังจากภาครัฐ มูลนิธิเกษตรกรไทยจึงชุมนุมใหญ่ ณ วันที่ 13 ธันวาคม 2542 มีสมาชิกจาก 19 จังหวัดภาคอีสานกว่า 80,000 คน ร่วมชุมนุมโดยมีข้อเรียกร้อง สรุป คือ
มกราคม เมษายน 2543
การชุมนุมใหญ่ ครั้งที่ 7 : ลานพระบรมรูปทรงม้า เหตุจากความล่าช้าในการเร่งรัดให้ พรบ. กองทุนมีผลบังคับใช้มูลนิธิเกษตรกรไทยในนามสภาเกษตรกรไทย จึงระดมสมาชิกทั่วประเทศ 22 จังหวัด จำนวนกว่า 50,000 คน ชุมนุม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่ 3-6 พฤษภาคม 2543 โดยมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล คือ ปัญหากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร และแผนฟื้นฟูภาคการเกษตร
การบริหารกิจการสำนักงานกองทุนปัจจุบัน พฤษภาคม 5 กันยายน 2543
พรบ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 2) พ.ศ ..โดยในร่างกฎหมายกำหนดให้มีแนวทางจัดการหนี้ของเกษตรกร ทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ แทนการตรา พรบ. แก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสาระสำคัญประกอบด้วย
การแก้ไขปัญหาและการฟื้นฟูและพัฒนาภาคการเกษตรที่รอคอย จากจุดริเริ่มคิดค้นแสวงหาและความพยายามของเกษตรกร ประสานกับการร่วมมือของรัฐและภาคเอกชนตั้งแต่ 29 ธันวาคม 2529 จากโครงการฟื้นฟูชีวิตเกษตรกร อันมีมูลเหตุการผัดผ่อนชำระหนี้ ธกส. การแสวงหาของเกษตรกรเป็นผลสำเร็จ คือ มีเครื่องมือชนิดใหม่อันแรกที่เกิดจากความต้องการและร่วมสร้างของเกษตรกรในชื่อ พรบ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 รวมทั้งเครื่องมือซึ่งกำลังจะนำไปเสริมองค์ประกอบใหม่ เพื่อให้มีผลบังคับให้เพื่อการแก้ไขปัญหาหนี้สินของเกษตรกร คือ ร่างพรบ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 2) พ.ศ . ภายใต้การเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นฟู โดยมีกฎระเบียบ ข้อบังคับ องค์คณะบุคคล และผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูกำหนด กระบวนการฟื้นฟูองค์กรเกษตรกรที่ได้ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนสิ้นสุด ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2543 จำนวนตามตารางดังต่อไปนี้ ตารางจำนวนองค์กรเกษตร และสมาชิกองค์กรเกษตรกรที่ยื่นคำขอขึ้นทะเบียนกองทุน ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2543.
.องค์กรเกษตรกรทั้ง 53,911 องค์กร และสมาชิกทั้ง 6,576,848 ที่ยื่นคำขอเข้าสู่การฟื้นฟูตามข้อกำหนดของกองทุน ซึ่งตราไว้เป็นกฎหมาย เมื่อผ่านการตรวจสอบระบบตรวจสอบความซ้ำซ้อนแล้ว จะต้องมีกระบวนการและขั้นตอนอีกอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
| |||||||||||||||